เพราะโอกาสทั้งหลายในครึ่งแรกถูกจำกัดลงไปหมดด้วยการเล่นเกมรับอันยอดเยี่ยมของทีมเจ้าป่า ขณะที่ความพยายามของหงส์แดงไปตันในจังหวะผ่านบอลสุดท้าย ไม่หลุดเป้า เลยเป้า ก็ถูกสกัดกระเด้งกระดอนออกมาหมด
แต่ฟุตบอลก็เป็นแบบนี้ ผลงานในครึ่งแรกไม่ได้บอกว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้นด้วยในครึ่งหลัง มันถึงได้มีช่วงพักครึ่งให้เราได้ปรับปรุงแก้ไขจุดที่บกพร่อง ได้พักหายใจหายคอตั้งหลักกันใหม่เพื่อหาวิธีลงไปเอาชนะปัญหา
ผมไม่ติดใจอะไรกับความอึดอัดที่เกิดขึ้น พอใจในความพยายามหาวิธีการเอาประตูคืนของนักเตะลิเวอร์พูล เมื่อฟอเรสต์ไม่มาบู๊ด้วยแต่รับอย่างมีวินัยเต็มที่ในแดนตัวเอง รักษาสมาธิเต็มร้อย ละเอียดทุกการเข้าบอล ถ้าไม่มั่นใจว่าจะตัดบอลได้หรือชนะการปะทะได้ เจ้าถิ่นจะไม่เข้ามาพรวดพราดเลย
ปีกสองข้างลงไปช่วยฟูลแบ๊ก ตัวอันตรายริมเส้นของลิเวอร์พูลทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โกดี้ คักโป ไม่ถูกปล่อยให้อยู่ในสถานการณ์ตัวต่อตัว บอลเจาะตรงกลางก็แน่น โยนเข้าไปในเขตโทษทั้งจากแนวลึกและด้านข้างกระดอนออกมาหมดด้วยคู่เซนเตอร์แบ๊ก โดยเฉพาะ มูริลโล่ ที่โดดเด่นมาก
ฟอเรสต์คือของจริงไม่ใช่ของปลอมอย่างที่บางคนยังคงดูถูกพวกเขาอยู่ ชนะมา 8 นัดติดต่อกันในทุกรายการ ชนะ 7 นัดติดต่อกันในลีก
การชนะเกมศูนย์มา 6 นัดรวด และยังรั้งอันดับสามของตารางหลังผ่านครึ่งทางไปแล้วแสดงให้เห็นว่า น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ไม่เพียงเป็นทีมที่ดี แต่ยังเป็นทีมที่อันตราย เกมรับเหนียวแน่นเสียประตูยาก และเกมรุกลงโทษคู่แข่งได้
ถ้าคิดว่าด้วยชื่อชั้นที่ห่างกันลิเวอร์พูลจะบุกไปเอาชนะแบบถล่มทลายก็คงต้องบอกว่าคิดผิด เพราะฟอเรสต์เวลานี้ไม่ได้อ่อนหัดขนาดนั้น
พวกเขาไม่แลกด้วยไม่ได้หมายความว่ากระจอก หลายคนปรามาสทีมเจ้าป่าว่าเอาแต่อุด รับแล้วรอโต้ แต่อันที่จริงแล้วทีมของ นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ มีความยืดหยุ่น มีเกมที่เล่นเกมบุก มีเกมที่เน้นเกมรับ ขึ้นอยู่กับว่าคู่แข่งที่เจอนั้นเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน
เจอมวยหมัดหนัก ไปเปิดหน้าแลกก็เสี่ยงโดนน็อก ถ้าเขาเลือกกวิธีการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเอาชนะได้ตามเป้าหมาย และยังสามารถทำได้ด้วย ผมคิดว่าสิ่งที่พวกเขาควรได้รับคือคำชื่นชมมากกว่า
การจัดตัวเต็มสูบด้วยกันทั้งคู่ ทั้ง ซานโต้ และ อาร์เน่อ ชล็อต ใส่ผู้เล่นชุดที่ดีที่สุดลงสนามตั้งแต่ต้นเกม สร้างความสะใจให้กับแฟนบอลยิ่งนัก
ฟอเรสต์มี มูริลโล่ กับ นิโกล่า มิเลนโควิช คู่เซนเตอร์คุมเกมรับ ไรอัน เยตส์ กับ เอลเลียต แอนเดอร์สัน คุมแดนกลาง แอนโธนี่ อีลังก้า กับ คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย โจมตีริมเส้น มอร์แกน กิ๊บบ์ส-ไวท์ เพลย์เมกเกอร์ และ คริส วู้ด หน้าเป้า
ลิเวอร์พูลใส่ โดมินิก โซโบซไล ผนึกกำลังกับ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ ไรอัน กราเฟนแบร์ก ตรงกลาง คักโป ซ้าย ซาลาห์ ขวา หลุยส์ ดิอาซ หน้าเป้าบทบาทฟอลส์ไนน์ ส่วนเกมรับ อิบู โกนาเต้ ยืนคู่ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ มี แอนดี้ โรเบิร์ตสัน กับ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ประจำการซ้ายขวา
ในความอึดอัดที่เจาะไม่เข้า ลิเวอร์พูลก็ไม่ได้นิ่งเฉย ไม่ได้ตื้อตันไร้ไอเดีย พยายามหาวิธีการเข้าทำหลายหลาก ทำชิ่ง 1-2 เร็วเพื่อสร้างพื้นที่ มีความแม่นยำที่น่าพอใจทีเดียวแต่นักเตะฟอเรสต์ก็ยังขยันตามมาปิดช่องว่างได้ ฟาน ไดค์ กับ โกนาเต้ สลับกันพาบอลขึ้นมาสูงถึงกลางสนามเพื่อเปิดเกม เพิ่มจำนวนผู้เล่นเกมรุกสู้กับแนวรับเจ้าบ้าน
บอลโยนจากด้านข้าง โยนจากแนวลึก เล่นสั้นสลับยาว ทิ้งบอลข้ามไปพื้นที่ว่างในจังหวะเก็บบอลได้แล้วทำเร็ว ต่อบอลหาช่องอย่างอดทน รวมทั้งผ่านบอลฉาบฉวยโจมตีเร็ว
ไม่ใช่ไม่ทำอะไรเลย แต่เกมรับของฟอเรสต์ยืนกันได้ดีจริง ๆ ถ้าเขาไม่เข้าพรวดให้หลบได้ คุณก็ยากที่จะเจอพื้นที่ว่าง
สิ่งที่ลิเวอร์พูลต้องระวังคือการเสียบอลกลางทางหรือจังหวะบอลสองที่กระดอนออกมา ฟอเรสต์เปลี่ยนรับเป็นรุกได้เก่ง ด้วยมีนักเตะคุณสมบัติเหมาะสมอยู่ในทีม มีตัววางบอล มีตัวเร็วริมเส้น และมีตัวจบที่ไว้ใจได้
ครองบอลบุกเข้าใส่ไปด้วยก็ต้องระวังหลังให้มากไปด้วย ต้องเน้นกับการผ่านบอลแต่ละครั้งให้มากขึ้นด้วย
ไม่อย่างนั้นก็อาจถูกลงโทษอย่างประตูแรกที่เสียให้ฟอเรสต์ตรงกลางสนามแล้วโดนทิ่มบอลเร็วขึ้นหน้า 2 ทีไปจบที่ก้นตาข่ายจากความเยือกเย็นของวู้ด
เล่นกับฟอเรสต์เวลานี้ โคตรอันตรายจริง ๆ
นับว่าซานโต้วางแผนมารับมือลิเวอร์พูลได้ละเอียด และสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหนึ่งชั่วโมงแรกของเกมยืนยันว่าเขาเลือกกลยุทธได้ถูกต้อง ลิเวอร์พูลได้ยิงมากกว่าในอัตรา 10 ต่อ 4 แต่ยิงไม่ตรงกรอบเลยและไม่มีลูกไหนได้ลุ้นประตูอย่างจริง ๆ จัง ๆ เลย
ลิเวอร์พูลเพิ่มการเล่นในพื้นที่ฮาล์ฟสเปซหรือแนวระหว่างเซนเตอร์แบ๊กกับฟูลแบ๊กทั้ง 2 ฝั่งขึ้นอีกในครึ่งหลัง แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ย่องเข้าไปอยู่ตรงนั้น ซาลาห์เองก็เช่นกัน แล้วเปิดพื้นที่ริมเส้นให้ คักโป กับ เทรนต์ ขณะที่ ซาลาห์ ก็เล่นบอลแทงอ้อมหลังแบ๊กเข้าเขตโทษบ่อยครั้งขึ้น ทั้ง โซโบซไล และ โชต้า ได้บอลแบบนี้จากดาวเตะอียิปต์เข้าไปสร้างความหวาดเสียวได้ 2-3 ครั้ง
แต่ความอึดอัดในแบบที่ "ทำอะไรไม่ได้" ก็ยังคงอยู่ แนวหลังของฟอเรสต์ไม่ลอยสูง อ่านเกม มีสมาธิปักหลักรับมือกับบอลต่าง ๆ ของหงส์แดงอย่างมั่นใจ ทำให้บอลจังหวะเปิดเข้าไปทำประตูของลิเวอร์พูลมีปัญหาตลอด ทั้งยังมีจังหวะสวนเสียว ๆ เป็นระยะ
กราเฟนแบร์กตัดบอลได้ฉิวเฉียดในจังหวะโต้น่ากลัวของฟอเรสต์ก่อนเข้าหนึ่งชั่วโมงของเกม จังหวะนั้นถ้าหลุดไปได้เจ้าป่าจะมีผู้เล่นถึง 4 คนรุม อลีสซง เบ็คเกอร์ คนเดียว
ใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ไม่เป็นจังหวะ
จนกระทั่งการเปลี่ยนตัวครั้งแรกของชล็อตที่ส่ง ดีโอโก้ โชต้า กับ คอสตาส ซิมิกาส ลงมาแล้ว ซิมิกาส เปิดลูกเตะมุมให้ โชต้า โหม่งตีเสมอได้ทันทีนั่นแหละที่เปลี่ยนโมเมนตัมของเกมไป
ฟอเรสต์ที่รับแน่นหนามาตลอดพลาดทีเดียวเสียประตูเลย บอลจากซิมิกาสลงหัวโชต้าที่อยู่ระหว่าง มูริลโล่ กับ วู้ด อย่างเหมาะเหม็ง การดึงตัวประกบไปอยู่ด้วย 2 คนของฟาน ไดค์ ก็มีส่วนช่วยให้หัวหอกโปรตุกีสได้โหม่งง่ายขึ้น
หลังจากนั้น โอกาสของลิเวอร์พูลก็มากขึ้นทันตาเห็น ด้วยแรงเหวี่ยงสวิงกลับไปที่พวกเขา
เกมเปิดมากขึ้น ฟอเรสต์มีโอกาสโต้มากขึ้น เช่นเดียวกับที่ลิเวอร์พูลเองก็มีโอกาสทำประตูมากขึ้น จากโอกาส 10 ตรงกรอบ 0 ในหนึ่งชั่วโมงแรกของเกม ลิเวอร์พูลจบ 90 นาทีด้วยสถิติยิง 23 ตรงกรอบ 7 และค่า xG หรือประตูที่ควรทำได้ถึง 2 ประตู
หนึ่งชั่วโมงแรกได้ยิง 10 ครั้ง ตรงกรอบ 0
ครึ่งชั่วโมงสุดท้ายได้ยิง 13 ครั้ง ตรงกรอบ 7 เป็น 1 ประตู
ตัวเลขนี้ยืนยันว่าโมเมนตัมที่เปลี่ยนไปนั้นไม่ใช่แค่การรู้สึกไปเอง แต่เป็นที่รายละเอียดของเกมในตัวมันเองเลย เพราะในขณะเดียวกัน น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ยังมีสัดส่วนของสถิติเท่าเดิม หนึ่งชั่วโมงแรก ยิง 4 ตรงกรอบ 2 ครึ่งชั่วโมงหลังยิง 2 ตรงกรอบ 1 ค่า xG เพียง 0.39 ประตู
จากโอกาสที่คาดหวังอะไรไม่ได้เลยกลายเป็น 1 ประตูตีเสมอ และโอกาสทองที่น่าได้ประตูอีกอย่างน้อย 3 ครั้งเหนาะ ๆ
-นาที 69 ซาลาห์แทงให้โชต้าหลุดเข้าไปล็อกยิงเสาแรกเผาขน.. มัตซ์ เซลส์ ป้องกันไว้ได้
-นาที 77 โชต้าได้วอลเล่ย์เต็มข้อ.. มัตซ์ เซลส์ ป้องกันได้อีก
-นาที 89 ซาลาห์ได้วอลเล่ย์เต็ม ๆ มัตซ์ เซลส์ หมดสิทธิ์แล้ว.. แต่ โอน่า ไอน่า สกัดทิ้งบนเส้น
เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ มีบทบาทขึ้นกว่าครึ่งแรกมาก บอลวางยาวจากเขาได้ลุ้นเสมอ แต่ก็เหมือนเคย เกมรับของเขายังไม่ร้อยเปอร์เซนต์ ดวลกับปีกเร็ว ๆ ตัวต่อตัวมักเสียท่า ก่อนหมดเวลาห้านาทีเขาถูก อีลังก้า กระชากไปถึงเส้นหลังแล้วผ่านเข้ากลาง โชคดียังดีที่ วู้ด ยิงไม่ได้
ผมยังชอบการวางบอลของเทรนต์ เขากล้าและมั่นใจ ที่สำคัญคือบอลนั้นยังแม่นยำทำให้เพื่อนได้เปรียบสมกับที่มั่นใจเสียด้วย นี่คือความแตกต่างและทำให้เขาเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงมากสำหรับคนเป็นฟูลแบ๊ก ซึ่งแน่นอนครับ ปัญหาในเกมรับก็ต้องหาวิธีการแก้ไขที่ดีที่สุดกันต่อไป
ลูกยิงไกลของโซโบซไลก็เกือบเป็นประตูเช่นกัน มัตซ์ เซลส์ พุ่งปัดทิ้งได้หวุดหวิดอีก หรือในช่วงทดเวลา นายทวารชาวเบลเยียมก็เซฟช่วยเจ้าป่าไว้ได้อีกเมื่อพุ่งปัดลูกลากตัดเข้ามายิงของคักโปออกหลังฉิวเฉียด
หลังจากบดใส่ยาว ๆ ด้วยอาการโรยที่ปรากฏชัดของนักเตะฟอเรสต์ เสียงนกหวีดหมดเวลาก็ดังขึ้นโดยไม่มีฝ่ายไหนยิงประตูเพิ่มได้อีก
อาจจะน่าเสียดายสำหรับลิเวอร์พูลที่ทำประตูแซงนำไม่ได้ แต่แต้มนี้ก็เป็นแต้มที่ 14 เข้าไปแล้วที่ทีมหงส์แดงเก็บได้จากสถานการณ์ที่ไม่มีคะแนนในมือ มากที่สุดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ แสดงให้เห็นถึงการเอาตัวรอดได้เสมอในยามจำเป็น
ถ้าเทียบกับความรู้สึกอึดอัดมืดมนที่เกิดขึ้นหลังจบครึ่งแรก มันก็เป็นความพอใจยิ่งกว่ามากที่ได้กลับมารู้สึกเสียดายว่าไม่ชนะ
เป็นอีกครั้งแล้วที่ฟุตบอลบอกกับเราว่าอย่าเพิ่งตัดสินอะไรหรือมั่นใจอะไรเพียงแค่สิ่งที่เกิดขึ้นในครึ่งแรก
ผลเสมอเกมนี้ แน่นอนครับบางคนพอใจ บางคนไม่พอใจ มันก็เป็นความรู้สึกและมุมมองของแต่ละคน
ถ้ามองในแง่ร้ายมันก็คือ 2 คะแนนที่หายไป แต่กระนั้นมันก็คือเกมที่ยากจริง ๆ ต้องเจอคู่ต่อสู้ที่เป็นของจริง และทีมสามารถเอาตัวรอดได้จากสถานการณ์ที่เป็นรองจนเกือบจะกลับมาชนะ
สำหรับผมแล้ว ผมพอใจมากกว่าที่ได้เห็นความพยายามในการหาวิธีทำประตูของทีม พอใจที่ได้เห็นการไม่อยู่เฉยของนักเตะ ได้เห็นความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อที่จะเจาะเกมรับอันแข็งแกร่งของฟอเรสต์ให้ได้
ค่อย ๆ ขยับจากที่ดูไม่มีหวัง ขึ้นมาเป็นมีความหวัง และทำมันจนได้ในที่สุด
โยนทิ้งยิงขว้างไปบ้างนั่นคือส่วนหนึ่งของเกม แถม มัตซ์ เซลส์ ก็ดันมีฟอร์มเทวดาพอดีอีก แต่อย่างน้อยเกมนี้ผมก็ได้เห็นทัศนคติเล่นเพื่อชนะของนักเตะ โดยเฉพาะช่วง 20 นาทีสุดท้ายที่ความเข้มข้นในการบุกเพื่อเอาประตูที่สองให้ได้นั่นน่าประทับใจจริง ๆ
ตังกุย