สำนักข่าวต่างประเทศรายงานในวันนี้ (14 มกราคม 2568) ว่าสเปนประกาศแผนเก็บภาษีสูงถึง 100% สำหรับการซื้ออสังหาริมทรัพย์โดยชาวต่างชาติที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในประเทศ และมาจากประเทศนอกสหภาพยุโรป โดยมีเป้าหมายเพื่อลดวิกฤตด้านที่อยู่อาศัยของประเทศ นายกรัฐมนตรี เปโดร ซานเชซ กล่าวว่า ราคาที่อยู่อาศัยในสเปน พุ่งสูงเกินกว่าที่คนจำนวนมากในสเปนจะสามารถซื้อได้ และได้เน้นย้ำถึงลักษณะปัญหาที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง โดยกล่าวถึงราคาที่อยู่อาศัยในยุโรปที่เพิ่มขึ้นถึง 48% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ซึ่งสูงกว่ารายได้ของครัวเรือนอย่างมาก โลกตะวันตกกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญ การหลีกเลี่ยงไม่ให้สังคมกลายเป็นสองชนชั้น ระหว่างผู้มั่งคั่งที่เป็นเจ้าของบ้านกับผู้เช่าที่ยากจน มาตรการที่เสนอ ยังรวมไปถึงการเพิ่มจำนวนที่อยู่อาศัยเพื่อสังคม การให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ที่ปรับปรุง และปล่อยเช่าบ้านว่างในราคาที่เอื้อมถึงได้ รวมถึงการเข้มงวดกับการปล่อยเช่ารายฤดูกาล นายกรัฐมนตรี เปโดร กล่าวว่า ขณะนี้มีที่อยู่อาศัยเพื่อสังคมเพียง 2.5% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมดในสเปน
ซึ่งต่ำกว่าประเทศอย่างฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์อย่างมาก อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดึงดูดความสนใจจากทั่วโลกมากที่สุด คือแผนของรัฐบาลที่จะเข้มงวดกับชาวต่างชาติซึ่งไม่ได้มาจากสหภาพยุโรปที่ซื้อบ้านในสเปน ประเทศนี้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับผู้ซื้อบ้านพักตากอากาศที่มาจากนอกสหภาพยุโรปมายาวนาน โดยมีชาวอเมริกัน และโมร็อกโกจำนวนมากแห่กันเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่อย่างอิบิซา(Ibiza) มาร์เบยา(Marbella) และบาร์เซโลนา(Barcelona) นายกอธิบายว่า ภาษีสูงถึง 100% นี้
เป็นมาตรการที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของสเปน เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ในปี 2023 เพียงปีเดียว ชาวต่างชาติที่ไม่ได้อยู่ในสหภาพยุโรป ได้ซื้อบ้านและอพาร์ตเมนต์ในสเปนประมาณ 27,000 แห่ง และพวกเขาไม่ได้ซื้อเพราะจะอยู่อาศัย ไม่ได้ซื้อให้ครอบครัวมีที่อยู่ แต่ซื้อเพื่อนำไปเก็งกำไรและสร้างผลกำไร นอกจากนี้เปโดร ได้ให้เหตุผลว่า มาตรการเหล่านี้มีความจำเป็นเพื่อตอบสนองต่อความไม่สมดุล ระหว่างราคาที่อยู่อาศัยที่พุ่งสูงขึ้นและรายได้ของครัวเรือน
เรากำลังเผชิญกับปัญหาร้ายแรงที่ส่งผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ซึ่งต้องการการตอบสนองอย่างเด็ดขาดจากทั้งสังคม โดยมีสถาบันสาธารณะเป็นผู้นำในแนวหน้า เปโดรกล่าวเพิ่มเติม